Monday, December 29, 2008

ก็แค่...ข้าวเย็นมื้อนึง

เริ่มต้นด้วยความหงุดหงิดเล็กน้อย หลังจากรับโทรศัพท์ และปลายสายเป็นเสียงของพี่บอกว่ากลับมาบ้าน
ก่อนบ่ายสามนะจะออกไปกินไปกินข้าวเย็นกัน ( แอบคิดในใจนี่เค้าชวนหรือบังคับว่ะเนี่ย ) วันนั้นคิดไว้ว่า
จะเดินจตุจักรแบบชิวชิว สักหน่อย ลืมบอกไปขณะที่พี่โทรมาเวลาประมาณเกือบเที่ยงเห็นจะได้ แล้วจะทำไง
ล่ะเนี่ยวันนั้นรถก็ไม่ได้เอามา คิดว่าเออกะจะนั่งรถเมล์กลับซะหน่อยวันอาทิตย์รถคงโล่งๆ ที่ไหนได้ไม่ทัน
ต้องเรียกแท็กซี่กลับ ดันขับช้าซะอีกจะบ้าตาย... ไปถึงบ้านก็เกือบจะสี่โมงล่ะ รีบๆอาบน้ำแต่งตัวเพื่อที่จะ
ออกไปกับที่บ้าน


และในที่สุดก็ถึงปลายทางภายในหนึ่งชั่วโมงสิบห้านาที บางแสนนี่เอง " ร้านครัวต้นข้าว "
ไม่ได้ไปบางแสนนานมากแล้ว มีร้านอาหารเพิ่มขึ้นเยอะแยะมากมาย บรรยากาศในร้านก็ดี เหมาะไปทาน
กันแบบครอบครัว นอกนั้นร้านอื่นๆที่ผ่านมามันดูวัยรุ่นๆไปหน่อยสำหรับผู้ใหญ่ บริเวณใกล้กับร้านยังมีร้าน
สถานีนมสดตั้งอยู่ด้วยเมนูเยอะมาก เยอะจนไม่รู้ว่าแล้วเราควรจะดื่มนมดีหรือเปล่า การดื่มนมนี่มันยุ่งยาก
ขนาดนี่เลยหรอ...



วกกลับมาที่ " ร้านครัวต้นข้าว " หลังจากที่อาหารเริ่มทยอยมาเสิรฟ์ ทุกคนๆในครอบครัวเริ่มทานอาหารกัน
สลับกับการสนทนาอย่างออกรสออกชาด ดูจะออกไปในทางรสชาดดีเหมือนกับอาหารที่ทุกๆคนได้ทานเข้า
ไปต้องขอบอกก่อนว่าครอบครัวเราเองไม่ค่อยได้มีโอกาสทานอาหารพร้อมหน้าพร้อมตากันบ่อยๆนัก เอ๊ะ...
แต่จะพูดยังงั้นก็คงจะไม่ถูกซักเท่าไร เพราะส่วนมากทุกทุกวันอาทิตย์ก็จะทานอาหารเย็นพร้อมกันบ้าง ถ้าทุก
คนอยู่พร้อมกันที่บ้าน ใช่แล้วที่บ้าน...บ้านเราเองไม่ค่อยชอบที่จะออกไปทานอาหารนอกบ้าน เพราะว่าแม่
ชอบทำอาหาร ทำมันเป็นซะเกือบทุกอย่างล่ะประเด็นที่สำคัญที่สุด ทุกๆคนในบ้านชอบที่จะทานอาหารฝีมือ
แม่ไม่ได้โม้นะ...แม่เราทำอาหารอร่อยจริงๆ

...แต่วันนี้ถือว่าเปลี่ยนบรรยากาศล่ะกันที่ออกมาทานอาหารเย็นนอกบ้านไกลถึงบางแสนนอกจากบรรยากาศดี
อาหารอร่อยแล้ว ครอบครัวยังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา มีการสนทนาอย่างออกรสออกชาด แถมยังได้เห็นพระ
อาทิตย์ที่ค่อยๆเคลื่อนตัวตกลงไปในทะเล ภาพและบรรยากาศเหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ( ในช่วงชีวิตตอนโต )
...ลงท้ายแล้วทุกสิ่งทุกอย่างในวันนี้จบลงด้วยความสบายใจ สบายตา สบายหู สบายไปซะทุกอย่าง


...และท้ายที่สุด จริงๆแล้วมันเป็น ตั้ง...ข้าวเย็นมื้อนึง ต่างหาก

Monday, December 22, 2008

ท้องฟ้า




วันนี้อยู่บ้านว่างๆก็เพ้อเจ้อกันไป ท้องฟ้าในช่วงฤดูหนาวนี่มันดูใสใสดีนะ
โดยส่วนตัวเป็นคนชอบมองท้องฟ้า หลายๆคนก็คงจะเป็นเหมือนกัน...มันดูปลอดโปร่งดี

Wednesday, December 17, 2008

Big Beef Burger

เมื่อวานว่างๆมีโอกาสได้ทำอาหารทานเอง ปกติก็ทำอาหารทานเองบ้างเหมือนกันแต่ไม่มีเวลาถ่ายเก็บไว้เลย วันนี้ว่างๆ
เลยจัดไปซักหน่อย ทำไปถ่ายไป แอบลำบากนะเนี่ย ดีที่เมนูที่จะทำวันนี้มันง่าย นั่นก็คือ " Big Beef Burger "



ผสมเนื้อบดกับส่วนผสมอื่นๆที่ได้เตรียมไว้


ปั้นเนื้อเป็นก้อน ขนาดตามชอบใจ วันนี้ขอแบบก้อนใหญ่ๆๆ


นำเนื้อที่ปั้นเอาไว้เป็นก้อน ลงกะทะทอด ตอนแรกว่าจะอบแต่ทนหิวไม่ไหว ทอดล่ะกัน
ก้อนใหญ่ขนาดนี้กว่าจะสุกนานมากกก กะไม่ถูกเลยต้องแอบแหวกดู ฮ่าๆ


เอาเห็ดที่หั่นไว้แล้วลงไปผัดกับเนยและเกลือ กระเทียมนิดหน่อย


ใส่เนยลงในกระทะบางๆ แลัวนำขนมปังลงไปบนกระทะจนกรอบๆนิดๆ
* โดยส่วนตัวชอบแบบกรอบนิดเดียวไม่ต้องมาก



ยัง...ยังประกอบร่างไม่เสร็จ ทำทั้งหมดสองชิ้นเพราะทานกันสองคน


ขั้นตอนสุดท้ายประกอบร่าง Big Beef Burger จะใหญ่ไปไหนเนี่ย

ปล. อร่อยดีนะ แต่ท้ายที่สุดทานไม่หมดเหลือนิดหน่อย ชิ้นมันใหญ่เกินไป แอบเสียดาย "__"

Monday, December 15, 2008

Primo Posto_Del Khao Yai

Primo Posto ได้ยินชื่อมานานล่ะ แต่ยังไม่มีโอกาสได้ไปสักที วันนี้ฤกษ์งามยามดี ครอบครัวอยู่กันพร้อม
หน้าพร้อมตา
ไปเปลี่ยนบรรยาศซะบ้างก็ดี ไม่ใกล้ไม่ไกลเท่าไรขับรถไปสองชั่วโมงกว่าๆก็ถึง อยู่ก่อนทาง
ขึ้นไปเขาใหญ่
โชคดีที่วันนั้นรถไม่ติดมาก ไปถึงที่นั่นก็ประมาณเก้าโมงครึ่งเห็นจะได้ คนเลยไม่เยอะเท่าไร
ถ่ายรูปได้สบายๆ ไม่ต้องคอยหลบผู้คนกันมากมาย อากาศที่นั่นก็ไม่ร้อนมาก แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวเวอร์ ลม
พัดเย็นๆ เป็นวูบๆสบายดี แต่ถ้าหนาวอีกนิด ก็จะดีมากเลยเท่าที่จำความได้โตมาก็ไม่ค่อยจะได้ไปเที่ยวกับ
คุณพ่อคุณแม่สักเท่าไร เนื่องจากตัวท่านเองก็ไม่ว่าง ตัวเราเองก็ไม่ว่าง ติดเพื่อนว่างั้น แต่วันนี้ก็ถือว่าเป็น
โอกาสที่ดี ไม่ได้รู้สึกดีดีอย่างงี้มานานมากล่ะ

ประเทศไทยก็ยังมีที่ให้เที่ยวอีกหลายที่เลยนะเนี่ยที่ยังไม่เคยไป ___ มาดูบรรยากาศที่นั่นกันเลยดีกว่า


ถึงแล้ว Primo Posto แอบหายากหน่อยไม่เห็นมีป้ายบอกเลย




บรรยากาศสบายๆ สีของตัวอาคารตัดกับสีของท้องฟ้า สดชื่นดี มองไปรอบๆก็เป็นภูเขา


ต้นตีนตุ๊กแก เวลามันเลื้อยเกาะอาคารหรือผนังนี่มันดูสวยดีนะ





ภาพนี่ถ่ายจากด้านหลัง ด้านหลังเป็นไร่องุ่นน้อยๆ
* สังเกตว่าหน้าต่างไม่ได้เปิดเหมือนฝั่งอาคารด้านหน้า


ส่วนอันนี้ด้านหน้าหน้าต่างเปิด


ที่นั่นก็จะมี ร้านกาแฟ ไอศครีม เค้ก และร้านอาหาร ( อันนี่ขายเป็นรอบๆเวลาไป )



ถ่ายรูปมาเยอะเหมือนกันเลือกไม่ค่อยถูกว่าจะลงรูปไหนดี ก็ลงๆไป สรุปลงซะเยอะเชียว







นาฬิกาในร้านกาแฟ ยังเดินได้อยู่นะ




ถ่ายภาพกันสักหน่อย

My Family เรียงจากซ้าย แม่ พี่และพ่อ


ไอ้บีเวอร์


ส่วนนี่ คุณเต้าฮวย อีกหนึ่งของผู้ร่วมเดินทางในทริปสบายๆครั้งนี้


ภาพถ่ายจากบริเวณไร่องุ่นด้านหลัง



ทิวทัศน์ที่เห็น ณ ขณะนั่นกับอากาศหนาวๆเย็นๆสบายๆ วู้วววว...ดีจริงๆ


จบแล้วสำหรับทริปสบายๆ ในครั้งนี้ Primo Posto_Del Khao Yai

Saturday, December 6, 2008

tommy

When she was young, she looks like " Tom " in Tom&Jerry ( Kid Version ).







Invisible Force Design Exhibition

ทางภาควิชาการออกแบบนิเทศศิลป์ คณะศิลปกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ มีแนวความคิดในการ
สนับสนุนให้นักออกแบบรุ่นใหม่ที่จบการศึกษาจากภาควิชา ได้มีโอกาสนำเสนอผลงานของตนเองออกสู่
สาธารณะในรูปแบบของนิทรรศการ ดังนั้นในปีนี้ ทางภาควิชาจึงได้คัดเลือกนักออกแบบรุ่นใหม่ จากนัก
ศึกษาที่สำเร็จการศึกษาเมื่อปี 2548 จำนวนทั้งหมด 7 คน ที่มีผลงานที่โดดเด่นและน่าสนใจ มาร่วมกัน
แสดงผลงานในนิทรรศการครั้งนี้

Invisible Force คือ พลังงานบางอย่างที่มีอยู่จริงแต่ไม่อาจมองเห็นหรือจับต้องได้ โดยสามารถขับ
เคลื่อนหรือผลักดันการกระทำและพฤติกรรมของมนุษย์และสังคมได้ทัั้งในทางบวก และทางลบ ผลกระทบ
นี้อาจมีผลต่อสังคมเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง ความคิด ระเบียบปฏิบัติ การกระทำ ทั้งในทางสร้าง
สรรค์และในทางทำลาย โดยผ่านเข้ามาในรูปแบบของแรงบันดาลใจในการสร้าง และรวมไปถึงการล่อลวง
ผ่านความอ่อนแอในกมลสันดานของมนุษย์ นักออกแบบทั้ง 7 คนจะนำมุมมองของตนที่ได้จากประสบการณ์
ชีวิตทั้งในฐานะนักออกแบบและพลเมืองของสังคมมานำเสนอต่อผู้ที่ชมงานนิทรรศการ ทำให้เกิดการติดต่อ
สื่อสารกันระหว่างผู้ชมและผลงานออกแบบด้วยแนวความคิด และรูปแบบของผลงานที่แตกต่างกันออกไป
ตามความถนัดของแต่ละคนและความเหมาะสมในการสื่อสาร
* text by อ.เต็มยศ บัณฑิตธรรม

โดยมี อ.เต็มยศ บัณฑิตธรรม เป็น curator

การจัดแสดง นิทรรศการ Invisible Force Design Exhibition นอกเหนือจากโอกาสและประสบการณ์
อันมีค่า
ที่นักออกแบบทั้ง 7 คนจะได้รับแล้ว ผู้ชมนิทรรศการเองก็จะมีทางเลือกในการรับรู้งานออกแบบทาง
การสื่อสารที่เป็นรูปแบบที่แตกต่างออกไปจากงานออกแบบบที่คุ้นเคยกัน จากสื่อต่างๆ ภายใต้เงื่อนไขทาง
ธุรกิจ เพื่อให้เกิดการรับรู้และเข้าใจต่องานออกแบบสื่อสารได้กว้างและหลากหลายยิ่งขึ้น

Invisible Force Design Exhibition

Open Ceremony : 10 June 2008, 1.30 p.m.
โดยมี คุณประธาน ธีระธาดา ให้เกียรติเป็นประธานในพิธีเปิด
Bangkok University Gallery, Rangsit Campus, 2nd floor Surat Osathanugrah Library







บรรยากาศภายในของวันเปิดงานนิทรรศการ Invisible Force Design Exhibition


:: ปรารถนา ทวีมา ( กาลครั้งหนึ่ง )
>> เรารู้กันดีอยู่ว่าโลกกลมๆใบนี้ไม่เคยหยุดหมุน เข็มนาฬิกาไม่เคยหยุดเคลื่อนตัว แม้สักวินาทีเดียว
ทุกๆอย่างกลายเป็นอดีตได้ภายในพริบตาเดียว อดีตกลายเป็นประวัติศาสตร์ ถึงแม้จะไม่ยิ่งใหญ่ระดับ
โลก แต่อย่างน้อยก็เป็นประวัติศาสตร์สำหรับตัวเราเอง อดีตนั่นมีอำนาจหลายอย่างสำหรับคนเราเสมอ
ความทรงจำและอดีตนั้นมักจะมีส่วนร่วมเป็นพลังในการขับเคลื่อนความเป็นตัวตนของแต่ละคนออกมา
เมื่ออดีตปรากฏตัวขึ้น มันย่อมไม่ได้มีความหมายแค่เพียงความหลัง แต่ยังสามารถสะท้อนถึงตัวตนของ
คนๆนั้นได้อย่างชัดเจน ดังนั้นความเป็นตัวตนที่แตกต่างกันไปของแต่ละคนย่อมขึ้นอยู่กับประสบการณ์
และความทรงจำ ในอดีตที่แต่ละคนได้พบได้เจอ
บางครั้งการที่เราได้หยุดพักจากปัจจุบันและหันกลับไปมองเส้นทางชีวิตที่เราได้ก้าวผ่านมาตลอดมานั้น
ประสบการณ์และความทรงจำเหล่านั้นยังคงทรงคุณค่า มีความประทับใจและความภาคภูมิใจอยู่เสมอ
คุณเคยมีความรู้สึกอยากที่จะหวนรำลึกถึงอดีตต่างๆเหล่านั้นที่ทำให้คุณมีตัวตนได้อย่างทุกวันนี้กันบ้างไหม ?



>> เรขศิลป์บนผนัง ( Wall Graphic )
:: พูดถึงแรงผลักดันจากอดีตสู่ปัจจุบัน
keyword คือ ตัวตน ( ปัจจุบัน ) > หล่อหลอม > อดีต
นำเสนอออกมาเป็น Portrait ของตัวเอง ด้วยวิธีการ collage ( รูปถ่าย ของสะสม ความทรงจำ เป็นต้น )
เพื่อสื่อถึงการสะสม การซ้อนทับกัน เปรียบเสมือนกับประสบการณ์และอดีตที่ผ่านมาที่หล่อหลอมให้เรามีตัว
ตนในทุกวันนี้ ( ถ้าสื่อสารในระยะไกลจะเห็นเป็น Portrait ปกติ / สื่อสารในระยะใกล้จะเห็นถึงรายละเอียด
ของอดีตที่แฝงตัวอยู่
)

>> มาดูงานของเพื่อนๆพี่ๆ นักออกแบบที่ร่วมกันแสดงงานในครั้งนี้
<<


:: ธิญาดา สุเชาว์อินทร์ ( สามัคคี )
>> " สามัคคี " ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เรารู้จักกันดี แต่ขณะเดียวกันก็เหมือนมีอยู่ แต่ก็เหมือนไม่มีอยู่หรือ
สิ่งนั้นเป็นเพียงคำหนึ่งคำ แต่ในความเป็นจริง สิ่งที่สะท้อนออกมากลับเป็นอีกแบบหนึ่ง


:: ธเนศ ศิรินนทร์ ( Secret Force )
>> พลังที่จับต้องไม่ได้แต่มีอยู่จริง คนหนึ่งคนที่สามารถควบคุมพฤติกรรม ความคิดหรือการกระทำของ
คนอีกหลายๆคนได้ โดยอาศัยอำนาจ บารมี เสน่หาหรือเงินตรา จะว่าเป็นพลังที่มองไม่เห็นก็ไม่น่าจะถูก
นัก มันอาจจะเหมือนกับกระจกที่ขุ่นมัว ซึ่งเราอาจจะเห็นว่ามันมีอะไร แต่บอกไม่ได้ว่าอะไรคือสิ่งที่เราเห็น
ความไม่ชัดเจนเหล่านี้คือสิ่งที่ลึกลับและความคลุมเครือ ความลับไม่ต้องการข้อเท็จจริงความลับจึงมักจะ
เป็นสิ่งที่ทุกคนอยากรู้ บางคนเชื่อว่าความลับไม่มีในโลก แต่บางคนเชื่อว่าโลกต้องการความลับ บางคน
พยายามสุดชีวิตที่จะรักษาความลับไว้ บางคนก็พยายามสุดชีวิตที่จะเปิดโปงมัน หรือบางคนแค่ต้องการ
โยนหินถามทางต่อความลับทั้งหลายเหล่านั้น ก็สุดแล้วแต่มุมมอง และความเข้าใจของแต่ละคน ถ้าสิ่งที่
จับต้องไม่ได้ แต่มีอยู่จริงซึ่งสามารถขับเคลื่อนผลักดันการกระทำและพฤติกรรมของมนุษย์และสังคมได้ก็
น่าจะสรุปได้ว่าในพลังที่ว่านี้ หนึ่งในนั้นคือพลังแห่งความลับนั้นเอง


:: ภูวรินทร์ จารุทิพยคันธะ ( Appearance )
>> การออกแบบนี้เป็นการออกแบบเรขศิลป์เชิงทดลอง โดยที่ไม่ได้ใช้โปรแกรมสำเร็จรูปและคอมพิวเตอร์
ในการออกแบบ วิธีการสร้างผลงานนั้น จะเกิดจากพฤติกรรมมนุษย์ ที่นำเสนอมิติทางความคิดบนพื้นที่แห่ง
จินตนาการ เพื่อสรุปเป็นผลของงาน ดังนั้นภาพผลงานจะเกิดขึ้นได้ เมื่อผู้ชมผลงานเข้ามามีส่วนร่วมแสดง
เสรีภาพทางความคิด การแสดงออกและการใช้พื้นที่เพื่อให้เกิดเป็นงานออกแบบเรขศิลป์เชิงทดลองร่วมกัน


:: พงศ์ธร วชิรโภคา ( พฤติกรรมของตัวเราส่งผลกระทบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม )
>> สภาพอากาศที่แปรปรวนนั้นเป็นผลมาจากภาวะโลกร้อนในปัจจุบันนี้ ซึ่งมีปฎิสัมพันธ์โดยตรงจากการ
ดำเนินชีวิตประจำวันของมนุษย์ทุกคนบนโลก โดยการใช้พลังงานทั้งทางตรงและทางอ้อม ด้วยเทคโนโลยี
ในปัจจุบันทำให้เราเคยชินกับความสะดวกสบายในการดำเนินชีวิต และไม่สามารถกลับไปในชีวิตที่ปราศ
จากพลังงานได้อีกต่อไป มีสิ่งใดบ้างที่เราสามารถทำได้ เพื่อ"บรรเทา"โลกร้อนอันเป็นผลต่อเนื่องจากการ
ใช้พลังงานอย่างฟุ่มเฟือยของเรา คำตอบหนึ่งที่สำคัญมากก็คือ การใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่า อย่างประหยัด
และทุกสิ่งเริ่มได้ง่ายแสนง่ายในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งเล็กๆที่ตัวเราและทุกคนเริ่มทำเมื่อพร้อมใจกันทำ
คนละไม้คนละมือ ย่อมสร้างผลกระทบยิ่งใหญ่ในการลดภาวะโลกร้อนได้อย่างแน่นอน


:: พัชร์วิภา มหาภรไพศาล ( What be come Goth? )
>> แรงผลักดัน คือ สิ่งที่ทำให้คนเลือกที่จะเป็นในแบบต่างๆ ตามใจปรารถนา ความเป็น Goth คือ สิ่งหนึ่ง
ที่แสดงให้เห็นถึงความแตกต่างจากสังคมส่วนรวม การแต่งตัวเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สามารถบ่งบอกถึงเอกลักษณ์
ของความต่างนั้นๆ ได้เป็นอย่างดี โดยที่เราไม่ต้องพูดหรืออธิบายเลย ผู้ที่เห็นจะรับรู้ไปอย่างชัดเจนไม่ว่าจะมี
ทัศนคติใดๆ ก็ตาม


E-Card สำหรับนิทรรศการในครั้งนี้


Poster นิทรรศการ Invisible Force Design Exhibition
ออกแบบโดยพี่เหนือและพี่แนน ( คณะปฏิรูปการออกแบบ )
ต้องขอขอบคุณสำหรับการออกแบบสื่อประชาสัมพันธ์ในครั้งนี้ ถ้าไม่มีพี่เหนือพี่แนนคงวุ่นๆกันกว่านี้แน่
ยังไงชมผลงานของพวกเค้าได้ที่ http://designreformcouncil.blogspot.com/




Brochure นิทรรศการ Invisible Force Design Exhibition


นิตยสาร Happening


ภาพถ่ายระหว่างขนย้ายงานกลับบ้านหลังจากเสร็จสิ้นนิทรรศการ ณ หอศิลปมหาวิทยาลััยกรุงเทพ รังสิต

ปล. ต้องขอขอบคุณอาจารย์และทางมหาวิทยาลัยที่ได้มอบโอกาสที่มีคุณค่าให้พวกเราได้จัดทำนิทรรศการครั้งนี้